SPCG เปิดเผยงบการเงินงวด 6 เดือน ประจำปี 2567 ทำรายได้ที่ 1,229.4 ล้านบาท ลดลง 48% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่ 522.5 ล้านบาท ปีนี้ชำระหนี้ทั้งหมดเรียบร้อย มั่นใจผลประกอบการปีนี้ยังทำกำไรได้ต่อไป
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ “SPCG” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 493.8 ล้านบาท ลดลง 59% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 164.0 ล้านบาท ลดลง 72% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกประจำปี 2567 ของบริษัทและบริษัทย่อย สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 มีรายได้รวมจากการขายและให้บริการ จำนวน 1,229.4 ล้านบาท ลดลง 48% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2,386.7 ล้านบาท และบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 522.5 ล้านบาท ลดลง 58% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 1,239.7 ล้านบาท โดยคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.45 บาท
โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท จำนวน 1,055,790,000 หุ้น รวมเป็นจำนวนเงิน 527,895,000 บาท (ห้าร้อยยี่สิบเจ็ดล้านแปดแสนเก้าหมื่นห้าพันบาท) โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 30 สิงหาคม 2567 (วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) คือ วันที่ 29 สิงหาคม 2567) และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 13 กันยายน 2567
ดร.วันดี กล่าวว่า ในส่วนของรายได้ที่ลดลงอันดับแรกเป็นผลอันเนื่องมาจากจำนวนกระแสไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายได้ จำนวน 186.1 ล้านหน่วย จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 36 โซลาร์ฟาร์ม รวมกำลังการผลิตกว่า 260 เมกะวัตต์ ลดลงจากปีก่อน จำนวน 6.6 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 3 ประกอบกับค่าแอดเดอร์หรือรายได้เงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าที่หน่วยละ 8 บาท ของโซลาร์ฟาร์มทั้ง 36 โครงการได้สิ้นสุดลง ทั้งนี้ถึงแม้ว่าแอดเดอร์จะสิ้นสุดลง แต่ต้นทุนทางการเงิน หรือภาระหนี้ของบริษัทก็จะหมดลงไปด้วยเช่นกัน โดยในปี 2567 จะเป็นปีที่บริษัทดำเนินการชำระหนี้ทั้งหมดเรียบร้อยตามแผน อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงได้รับเงินจากการขายไฟตามปกติ และยังคงเดินหน้านโยบายปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุน O&M (Operating & Maintenance) สำหรับธุรกิจโซลาร์ฟาร์มทั้งในปัจจุบันและอนาคตลดลงอย่างเป็นนัยสำคัญเพื่อเป็นการเสริมสร้างสภาพคล่องและรักษากำไรของบริษัท
อันดับต่อไปเป็นผลมาจากบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ “SPR” (บริษัทในเครือ SPCG) ผู้นำด้านการออกแบบและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Power Roof System) มีรายได้จำนวน 154.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 74 เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายการติดตั้งอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาได้มีการติดตั้งไปแล้วกว่า 200 เมกะวัตต์และได้มีการปรับเปลี่ยนแผนการตลาดและกลยุทธ์ในการขายอยู่ตลอด เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและทางเลือกให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ยังคงให้การตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเมื่อลูกค้าติดตั้งระบบโซลาร์รูฟของบริษัทแล้ว ต่างเห็นผลลัพธ์ที่ดี สามารถลดค่าไฟได้ทันทีเมื่อติดตั้งอีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้กิจการของลูกค้ามีกำไรเพิ่มขึ้น
สำหรับงบการเงินเฉพาะกิจการของ SPCG สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากเงินปันผล จำนวน 1,051.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ จำนวน 1,055.6 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 บริษัทฯ ได้มีการอนุมัติการลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์ม “Kanoya Ohura Mega Solar” ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 8.02 เมกะวัตต์ ณ เกาะคิวชู เมืองคาโนยะ ประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 20 เป็นจำนวนเงิน 100 ล้านเยน ซึ่งบริษัทได้มีการชำระทุนทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 คาดว่าจะเริ่มดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในเดือนเมษายน 2568 ซึ่งโครงการดังกล่าวมีอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT 36 เยนต่อหน่วย ระยะเวลารับซื้อไฟฟ้า 18.1 ปี โดยมี Kyushu Electric Power เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า